ยาส 39 กริพเพน (สวีเดน: JAS 39 Gripen) (อ่านในภาษาสวีเดนว่า "ยอซ แทร็กตี้นิโยะ กรีเผ่น") เป็นเครื่องบินขับไล่หลากบทบาทที่ผลิตโดยบริษัทซ้าบของประเทศสวีเดน โดยมีกริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนล (Gripen International) ทำหน้าที่เป็นองค์กรหลักทำสัญญาซึ่งจะรับผิดชอบตลาด การขาย และการสนับสนุนเครื่องบินขับไล่กริพเพนทั่วโลก
ปัจจุบันมันอยู่ในประจำการของกองทัพอากาศสวีเดน กองทัพอากาศเช็ก กองทัพอากาศฮังการี และกองทัพอากาศแอฟริกาใต้ และยังถูกสั่งซื้อโดยกองทัพอากาศไทยอีกด้วย มีกริพเพนทั้งหมด 236 ลำที่ถูกสั่งซื้อในปี พ.ศ. 2551
วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550 กองทัพอากาศไทยแถลงผลการดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบที่ 18 ก/ข (เอฟ-5บี/อี) ระยะที่ 1 จำนวน 6 เครื่อง และระยะที่ 2 อีก 6 เครื่อง ได้ตัดสินใจซื้อเครื่อง ยาส 39 กริพเพน ในวงเงินกว่า 19,000 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2555 โดยเครื่องบินฝูงใหม่จะประจำการที่กองบิน 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เมื่อปลายทศวรรษที่ 2513 สวีเดนเริ่มต้องการหาเครื่องบินเข้ามาแทนที่ซ้าบ 35 ดราเคนและซ้าบ 37 วิกเกน เครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2523 ด้วยการศึกษาแบบที่เริ่มขึ้นในปีต่อมา การพัฒนากริพเพนเริ่มขึ้นในปีพ.ศ. 2525 โดยได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา
กริพเพนถูกออกแบบมาเพื่อการทำงานที่ดี ความยืดหยุ่น ความมีประสิทธิภาพ และความอยู่รอดในการต่อสู้ทางอากาศ คำว่า JAS ย่อมาจาก Jakt (อากาศสู่อากาศ) Attack (อากาศสู่พื้น) และ Spaning (การลาดตระเวน) ซึ่งแปลว่ากริพเพนนั้นเป็นเครื่องบินรบหลากบทบาทซึ่งสามารถทำภารกิจที่แตกต่างกันไปได้ ยาส 39 ได้รับชื่อว่ากริพเพน (Gripen หรือ Griffin ในภาษาอังกฤษ) จากการส่งชื่อเข้าแข่งขันในปีพ.ศ. 2525 กริฟฟินเป็นสัญลักษณ์บนโลโก้ของซ้าบและมันเหมาะกับเอกลักษณ์ของเครื่องบินหลากบทบาท นอกจากนี้กริฟฟินยังเป็นสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของซ้าบ
สวีเดนได้เลือกที่จะพัฒนากริพเพนมากกว่าที่จะซื้อเอฟ-16 เอฟ/เอ-18เอ/บี หรือเอฟ-5เอสที่เป็นรุ่นหนึ่งของเอฟ-20 ไทเกอร์ชาร์คของนอร์ทธรอป กริพเพนลำแรกเปิดตัวในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2530 ซึ่งครบรอบ 50 ปีของบริษัทซ้าบพอดี ต้นแบบแรกทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2531
ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เครื่องบินลำสุดท้ายของ 64 ลำถูกส่งให้กับหน่วยงานของสวีเดนที่จะรายงานให้กับกระทรวงกลาโหมสวีเดน นั่นเป็นความสำเร็จที่ตำกว่าราคาตกลง 10% สำหรับกองบินทั้งหมด มันทำให้ราคาของกริพเพน 39ซี บานปลายเป็น 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี พ.ศ. 2538 ซ้าบและบริติช แอโรสเปซ (ปัจจุบันคือบีเออี ซิสเทมส์) ได้ตั้งบริษัทร่วมขึ้นมาเพื่อทำการสร้างและสนับสนุนกริพเพนระหว่างประเทศ ข้อตกลงมีเพื่อใช้ข้อได้เปรียบเรื่องประสบการณ์การตลาดทั่วโลกของบริติช แอโรสเปซ บริติช แอโรสเปซเองก็มองว่ากริพเพนเป็นผลผลิตที่จะเติมเต็มเครื่องบินของตน เป็นการเติมช่องว่างระหว่างฮอว์ก ทอร์นาโด และยูโรไฟท์เตอร์ ไทฟูน การร่วมมือกันครั้งนี้ขยายออกในปีพ.ศ. 2544 โดยมีการก่อตั้งกริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนล (Gripen International) ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เดิม ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 ซ้าบและบีเออี ซิสเทมส์ได้ตกลงว่าตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2548 ซ้าบจะเป็นผู้รับผิดชอบการตลาดของกริพเพนทั้งหมด เพื่อเพิ่มยอดขายส่งออก
ในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2550 นอร์เวย์ได้ทำสัญญาตกลงในโครงการพัฒนาร่วมกันเพื่อให้มีการพัฒนาเครื่องบินต่อไปในอนาคตสำหรับรุ่นที่จะตามมา สัญญาดังกล่าวมีมูลค่า 150 ล้านโครน ตลอดสองปี
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 ธาเลส นอร์เวย์ (หรือThales Group) และซ้าบได้ทำสัญญาการพัฒนาระบบสื่อสารของกริพเพน มันเป็นการทำให้บริษัทของนอร์เวย์ได้รับรางวัลแรกจากการทำข้อตกลงที่ทำโดยกระทรวงกลาโหมนอร์เวย์และกริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนลในเดือนเมษายน พ.ศ. 2550
ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งในการตลาดของกริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนลในเดนมาร์ก ข้อตกลงจึงทำขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยมีผู้สนับสนุนเทคโนโลยีของเดนมาร์กคือเทอร์มา เอ/เอส (Terma A/S) ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าร่วมในโครงการอุตสาหกรรมร่วมตลอด 10-15 ปี มูลค่าทั้งสิ้นของโครงการคือประมาณ 1 หมื่นล้านเดนมาร์กโครน และบางส่วนขึ้นอยู่กับการเลือกกริพเพนของเดนมาร์ก
เป็นการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู้ เครื่องบินรบยุคที่ 5 และมีการสร้างเครื่องแบบสองที่นั่งสำหรับทดสอบเทคโนโลยีใหม่ถูกสร้างขึ้นมาและถูกนำมาแสดงในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2551 มันมีความจุเชื้อเพลิงมากขึ้น ขุมกำลังที่ทรงพลังยิ่งกว่า น้ำหนักบรรทุกเพิ่มขึ้น ระบบอิเลคทรอนิกที่ได้รับการพัฒนา และการพัฒนาอื่นๆ อีกมาก เครื่องบินใหม่นี้ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า"กริพเพน เดโม" (Gripen Demo)
กริพเพน เอ็นจี (NG ย่อมาจาก Next Generation) จะมีชิ้นส่วนใหม่มากมายและมีขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์จีอี/วอลโว แอโร เอฟ414จีที่พัฒนามาจากเครื่องยนต์ของเอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ท เครื่องยนต์จะให้กำลังมากขึ้นอีก 20% เป็น 22,000 ปอนด์ ทำให้มันสามารถใช้ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศที่ความเร็วซูเปอร์ครูซ 1.1 มัคได้
เมื่อเทียบกับกริพเพน ดี น้ำหนักสูงสุดของกริพเพน เอ็นจีนั้นเพิ่มขึ้นจาก 14,000 กิโลกรัมเป็น 16,000 กิโลกรัม โดยมีน้ำหนักเปล่าเพิ่มขึ้นอีก 200 กิโลกรัม เนื่องมาจากการเปลี่ยนตำแหน่งของล้อลงจอด ความจุเชื้อเพลิงภายในจึงเพิ่มขึ้น 40% ซึ่งจะเป็นการเพิ่มระยะในการขนส่งเป็น 4,070 กิโลเมตร รูปแบบใต้ท้องใหม่ยังทำให้มันสามารถเพิ่มจุดติดตั้งอาวุธได้อีกสองจุด เรดาร์พีเอส-05/เอได้เพิ่มเสาอากาศเออีเอสเอเข้าไปเพื่อการบินทดสอบที่จะเกิดขึ้นกลางปีพ.ศ. 2552
การบินครั้งแรกของกริพเพน เดโมเกิดขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 การบินทดสอบกินเวลา 30 นาทีและทำความสูงสุดที่ 21,000 ฟุต ในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552 กริพเพน เดโมได้บินด้วยความเร็ว 1.2 มัคโดยไม่มีการทำให้เครื่องร้อนใหม่เพื่อทดสอบความสามารถทำซูเปอร์ครูซของมัน
ในการออกแบบเครื่องบินมีการศึกษาโครงสร้างมากมาย ในที่สุดซ้าบก็เลือกแบบที่มีปีกหน้าซึ่งไม่เสถียร ปีกหน้าหรือคานาร์ด (Canard) ทำให้มันมีอัตราการไต่ระดับที่มากขึ้นและลดแรงฉุด ทำให้เครื่องบินเร็วขึ้น พิสัยไกลขึ้น และบรรทุกได้มากขึ้น
การผสมผสานกันของปีกทรงสามเหลี่ยมและปีกหน้าทำให้กริพเพนมีการบินขึ้น-ลงที่มีประสิทธิภาพและการบินที่ไม่เหมือนใคร ระบบอิเลคทรอนิกอากาศทั้งหมดทำให้มันเป็นเครื่องบินที่สามารถถูกโปรแกรมได้ มันยังมีหน่วยระบบสงครามอิเลคทรอนิกภายในอีกด้วย ทำใหม้นสามารถเพิ่มระเบิดเข้าไปได้โดยที่ไม่สูญเสียความสามารถในการป้องกันตนเอง มันยังมีระบบ 300-ลิงก์ ที่ใช้เพื่อแบ่งข้อมูลให้กับเครื่องบินอีกลำอีกด้วย
กริพเพนนั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่าเครื่องบินรบรุ่นก่อนๆ ที่สวีเดนใช้ และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการของมันเท่ากับ 2 ใน 3 ของซ้าบ 37 วิกเกนเท่านั้น
ในกองทัพอากาศสวีเดนมีความต้องการเครื่องบินที่สามารถใช้ทางวิ่งยาว 800 เมตรได้ ในตอนต้นโครงการการบินทั้งหมดจากโรงงานซ้าบใช้ทางวิ่งขนาด 9x800 เมตรเท่านั้น ระยะหยุดถูกลดลงด้วยการเพิ่มเบรกอากาศขนาดใหญ่เข้าไป ด้วยการใช้ผิวหน้าควบคุมเพื่อดันเครื่องบินลง การเพิ่มแรงเบรกที่ล้อให้มากขึ้นและลดปีกปลอมลงจะทำให้พวกมันกลายเป็นเบรกอากาศขนาดใหญ่และดันตัวเครื่องบินลง
กริพเพนใช้เรดาร์สมัยใหม่เป็นเรดาร์พัลส์-ดอปเปลอร์ พีเอส-05/เอ มันถูกสร้างขึ้นโดยอิริกส์สันและจีอีซี-มาร์โคนี โดยมีพื้นฐานมาจากเรดาร์บลูวิกเซน (Blue Vixen) ของซีแฮร์ริเออร์ (ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรดาร์ยูโรไฟท์เตอร์ของแคปเตอร์อีกที)
เรดาร์นี้สามารถตรวจจับ ระบุตำแหน่ง ระบุเป้าหมาย และติดตามเป้าหมายได้หลายเป้าหมายโดยอัตโนมัติ ทั้งบนพื้น ทะเล หรืออากาศ และในทุกสภาพอากาศ มันสามารถถูกใช้เพื่อนำทางขีปนาวุธอากาศสู่อากาศได้ 4 ลูก (อย่างเอไอเอ็ม-120 แอมแรมและเอ็มบีดีเอ ไมก้า) ในเวลาเดียวกันเข้าสู่เป้าหมายทั้งสี่[ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง]
ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552 ซ้าบและซีเล็กซ์ กาลิเลโอได้ทำสัญญาข้อตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมกันของเรดาร์วิกเซนเออีเอสเอราเวน (Raven) และพีเอส-05/เอ เรดาร์นี้จะสามารถสแกนได้ 200 องศาจากข้างหลังไปทางซ้ายและขวา
ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552 กริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนลได้เสนอซอร์ซโค้ดของเรดาร์เออีเอสเอของพวกเขาโดยเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันการขายในอินเดีย
ในห้องนักบินมีจอแสดงแบบเฮดดาวน์สีสมบูรณ์ 3 จอและจอแสดงอุปกรณ์ฉุกเฉินของเครื่องบินแบบดิจิตอล โครงสร้างของห้องนักบินทำให้นักบินมีความสะดวกสบายทำงานและยังเพิ่มความระวังต่อสถานการณ์อีกด้วย แต่มันก็ยังสามารถพัฒนาได้อีกในอนาคต นักบินจะควบคุมเครื่องบินด้วยการใช้คันบังคับที่อยู่ตรงกลางและคันเร่งที่อยู่ทางซ้ายมือ
ห้องนักบินให้พื้นที่การมองมากกว่าเครื่องบินขับไล่ส่วนมาก 30% และจอแสดงผลที่กินพื้นที่น้อยจนเหลือพื้นที่เพิ่มขึ้น 75%
มันมีจอแอคทีฟ-เมทริกซ์ขนาดใหญ่ (15.7x21 ซ.ม.) 3 จอ จอคริสตัลเหลวหรือจอแอลซี จอแสดงผลมัลติ-ฟังก์ชัน และจอเฮด-อัพ ดิสเพลย์ จอแสดงผลเหล่านี้จะมีไฟเพื่อช่วยในการให้ความสว่างและความคมชัด
ความน่าสนใจหนึ่งของกริพเพนคือการที่มันสามารถบินขึ้น-ลงได้บนถนนสาธารณะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของสวีเดน เครื่องบินนั้นถูกออกแบบมาให้สามารถปฏิบัติการได้แม้ว่าทัพอากาศจะสูญเสียความได้เปรียบทางอากาศไป
ในสงครามเย็น กองทัพอากาศสวีเดนได้เตรียมตัวเพื่อเผชิญกับการรุกรานจากสหภาพโซเวียตที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่ายุทธศาสตร์การป้องกันนั้นจะเน้นให้สวีเดนต้องยึดที่มั่นในเขตแดนของตน นักวางแผนทางทหารของสวีเดนก็ทำการคำนวณแล้วว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เองสวีเดนจึงทำการกระจายยุทโธปกรณ์ของตนออกไปทั่วประเทศ เพื่อที่ว่าพวกเขายังคงความสามารถในการสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้แม้ว่าจะต้องศูนย์เสียค่ายทหารไป
ดังนั้นในหมู่ยุทโธปกรณ์ของกองทัพอากาศสวีเดน กริพเพนจะต้องสามารถลงจอดบนถนนสาธารณะที่ใกล้กับค่ายทหารได้เพื่อการบำรุงรักษาที่รวดเร็วและขึ้นบินอีกครั้ง ผลที่ได้คือกริพเพนเป็นเครื่องบินขับไล่ที่สามารถเติมเชื้อเพลิงและอาวุธได้ใน 10 นาทีโดยใช้คนไม่กี่คนและทำการบินอีกครั้ง
หลังยุคสงครามเย็น ความสามารถในปฏิบัติการกระจายกำลังได้พิสูจน์ว่ามีค่ามากในจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป ระบบของกริพเพนนั้นเป็นความพร้อมโดยธรรมชาติ และดังนั้นมันจึงเหมาะสำหรับภารกิจรักษาความสงบทั่วโลก ซึ่งได้กลายมาเป็นงานหลักของกองทัพอากาศสวีเดน
กริพเพนเข้าประจำการอยู่ในกองทัพอากาศสวีเดนซึ่งได้สั่งซื้อเอาไว้ 204 ลำ (รวมทั้งแบบสองที่นั่ง 28 ลำ)
กองทัพอากาศเช็กและกองทัพอากาศฮังการีก็ใช้กริพเพนเช่นกัน โดยใช้เครื่องบินของสวีเดนประเทศละ 14 ลำ โดยในที่สุดพวกเขาก็จะเป็นเจ้าของพวกมัน ทั้งสองประเทศเป็นผู้ใช้รายแรกในกลุ่มนาโต้
กองทัพอากาศแอฟริกาใต้เริ่มได้รับเครื่องบินทั้ง 26 ลำ (รวมทั้งแบบสองที่นั่ง) ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551และกำลังส่งมอบอยู่ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 มีการส่งมอบแบบสองที่นั่ง 9 ลำ
กริพเพนยังได้รับการสั่งซื้อจากกองทัพอากาศไทย จำนวน 6 ลำ โดยสี่ลำเป็นแบบสองที่นั่ง และได้รับมอบเมื่อวันที่ 22/02/2554 และได้รับการจัดซื้อชุดที่ 2 เป็นแบบ C จำนวน 6 เครื่อง กำหนดส่งมอบในปี 2556
โรงเรียนฝึกนักบินรบ Empire Test Pilots' School ของ ทอ.อังกฤษ ก็ใช้กริพเพน รุ่น 2 ที่นั่ง ในการฝึกนักบินจากทั่วโลกเช่นกัน (บริษัท BAE กับ Saab ร่วมกันพัฒนาเครื่องกริเฟน)
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 มีรายงานว่ากองทัพอากาศบราซิลได้ลือกผู้เข้าชิงสามรายสุดท้ายในโครงการเอฟ-เอ็กซ์2 ของพวกเขา โดยมีดัซโซลท์ ราฟาเอล เอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ท และกริพเพน เอ็นจี จำนวนที่สั่งซื้อคือประมาณ 36 ลำและอาจเพิ่มขึ้นเป็น 120 ลำในเวลาต่อมา การตัดสินใจเกิดขึ้นในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ซ้าบได้ยอมรับความต้องการกริพเพน เอ็นจีทั้ง 36 ลำของกองทัพอากาศบราซิล
กองทัพอากาศโครเอเชียได้ประกาศแผนในการแทนที่มิก-21 ของพวกเขาด้วยยาส 39 กริพเพนหรือเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอน โครงการสุดท้ายนั้นต้องการเครื่องบิน 12-18 ลำ ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551 คณะบริหารกองกำลังป้องกันสวีเดนและซ้าบได้ตอบกลับความต้องการของโครเอเชียเพื่อขอข้อมูลในการจัดหาเครื่องบินทั้ง 12 ลำ เนื่องมาจากเหตุผลทางเศรษฐกิจและการเมือง กองทัพอากาศโครเอเชียจะยังไม่ทำการตัดสินใจจนกว่าจะถึงปีพ.ศ. 2553
เดนมาร์กได้ทำสัญญาระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมของตนกับของสวีเดนเพื่อทำการพัฒนากริพเพน โดยเดนมาร์กต้องการมันไปแทนที่เอฟ-16 จำนวน 48 ลำของพวกเขา เดนมาร์กยังได้ร้องขอกริพเพนรุ่นใหม่เพื่อการพัฒนาเพิ่มเติมอีกด้วย มันจะรวมทั้งชุดระบบอิเลคทรอนิกอากาศแบบใหม่ เครื่องยนต์ที่ทรงพลังและใหญ่ขึ้น น้ำหนักบรรทุกที่มากขึ้น และพิสัยไกลยิ่งขึ้น การร้องขอนี้เป็นจุดเริ่มต้นของกริพเพน เอ็นจี ซึ่งมีความต้องการของเดนมาร์กครบทุกอย่าง อย่างเครื่องยนต์เอฟ414จีที่ทรงพลังมากกว่าเดิม
กริพเพนได้เข้าร่วมแข่งขันในอินเดียน เอ็มอาร์ซีเอ คอมเพทิชั่นที่ต้องการเครื่องบินขับไล่หลากบทบาทจำนวน 126 ลำ กริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนลได้ยื่นข้อเสนอให้กับอินเดียในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551 บริษัทกำลังเสนอกริพเพน ไอเอ็นและเอ็นจีให้กับอินเดียและได้ทำการเปิดที่ทำงานในกรุงนิวเดลีเพื่อที่ให้กับสนับสนุนในตลาดของอินเดีย ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มีการประกาศว่าซ้าบได้เข้าเป็นหุ้นส่วนกับทาทา กรุ๊ปเพื่อพัฒนากริพเพนรุ่นใหม่เพื่อให้ตรงกับความต้องการของอินเดีย
ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ดาเจนส์ อินดัสทรี (Dagens Industri) ได้รายงานว่าเนเธอร์แลนด์ได้ประกาศว่าพวกเขาจะทำการประเมินยาส 39 กริพเพน เอ็นจีพร้อมกับเครื่องบินอีกสี่ลำที่ร่วมแข่งขันและได้ประกาศผลเมื่อสิ้นปีพ.ศ. 2551 ซ้าบตอบกลับเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 251 เพื่อร่วมในโครงการหาเครื่องบินทดแทนของกระทรวงกลาโหมเนเธอร์แลนด์ ด้วยการเสนอเครื่องบิน 85 ลำให้กับกองทัพอากาศเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ยังทำการประเมินระหว่างกริพเพน เอ็นจีกับเอฟ-35 อีกด้วย ในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551 สื่อได้รายงานว่าเนเธอร์แลนด์ได้ทำการประเทินเอฟ-35 ว่าเหนือกว่ากริพเพน โดยกล่าวว่าเอฟ-35 นั้นมีการทำงานที่ดีและราคาที่ถูกกว่า ในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552 เอ็นอาร์ซี แฮนเดลส์บลาด (NRC Handelsblad) อ้างว่าซ้าบได้ทำข้อเสนอให้กับเนเธอร์แลนด์ด้วยการส่งมองกริพเพน 85 ลำในราคา 4,800 ล้านยูโร ซึ่งถูกกว่าเอฟ-35 1 พันล้านยูโร ราคานี้ยังรวมทั้งค่าฝึกนักบินและการบำรุงรักษาไปอีก 30 ปี
ในวันที่ 17 มการาคม พ.ศ. 2551 คณะบริหารการป้องกันของสวิตเซอร์แลนด์ได้เชิญกริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนลเพื่อหาเครื่องบินมาทดแทนเอฟ-5 ซ้าบได้ตอบรับด้วยการยื่นข้อเสนอในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 โดยจำนวนที่แท้จริงของเครื่องบินยังเป็นความลับอยู่
บัลแกเรียได้ประกาศว่าพวกเขาต้องการแทนที่มิโคยัน มิก-21 ของพวกเขาด้วยยาส 39ซี/ดี 16 ลำหรือใช้เอฟ-16 16 ลำแทน
กองทัพอากาศโรมาเนียได้ประกาศว่าพวกเขาจะแทนที่มิก-21 แลนเซอร์ของพวกเขาในปี พ.ศ. 2551 โดยอาจเป็นยาส 39 กริพเพน เอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอน หรือยูโรไฟท์เตอร์ ไทฟูน
ทางการเซอร์เบียเองก็ได้หารือเรื่องเครื่องบินที่จะเข้ามาแทนที่มิก-21 ของพวกเขาใน พ.ศ. 2553 พวกเขาต้องการเครื่องบิน 24 ลำและกริพเพนก็อยู่ในทางเลือกของพวกเขา
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2538 ซ้าบและบริติช แอโรสเปซ (British Aerospace) (BAE Systems) ตกลงร่วมมือกันในด้านการตลาดของกริพเพนในชื่อกริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนล (Gripen International) และต่อมาได้ยุติความร่วมมือลง หลังจากมีผลประโยชน์ขัดกันในกรณีการเสนอกริพเพนและยูโรไฟเตอร์ ไต้ฝุ่นเข้าแข่งขันพร้อมกันในออสเตรีย ทำให้ ซ้าบ กลับมาถือหุ้นทั้งหมดในกริพเพน อินเตอร์เนชั่นแนล
ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้อำนวยการ นายพลกุนนาร์ โฮล์มเกรน (อังกฤษ: Gunnar Holmgren) แห่งศูนย์อำนวยการยุทโธปกรณ์ทางทหารแห่งสวีเดน (FMV) และพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุก ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ลงนามข้อตกลงในการจัดซื้อ เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์กริเพนรุ่นล่าสุดจำนวน 6 ลำและระบบเรด้าร์อิรี่อาย
ในข้อตกลงนี้ กองทัพอากาศไทยจะสามารถจัดหาเครื่องบินได้ทันการปลดประจำการเครื่องบินเอฟ-5 ได้ในต้นปี พ.ศ. 2554 กองทัพอากาศไทยจะได้รับเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์กริพเพนรุ่นซีและดีซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด จำนวน 6 ลำ (ยาส 39 กริพเพน ดีแบบสองที่นั่งจำนวน 4 ลำ และยาส 39 กริพเพน ซีแบบ 1 ที่นั่ง จำนวน 2 ลำ) และเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนซ้าบ 340 อีรี่อายจำนวน 1 ลำ พร้อมทั้งเครื่องบินซ้าบ 340 อีก 1 ลำสำหรับการฝึกและขนส่ง